Writer:Vee
จำได้ไหมว่าครั้งสุดท้ายเมาเมื่อไรกัน? แล้วอะไรที่เป็นเครื่องดื่มสุดโปรดของคุณหละ? เบียร์, เหล้า, หรือคุณเป็นแฟนของจิน ไม่ว่าคุณจะเคยลิ้มลองรสชาติของมันมาก่อนหรืออดใจรอไม่ไหวที่จะได้ลองรสชาติอันกลมกล่อมของมันสักที เพราะว่าวันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเรื่องราวของจิน และการดื่มแบบฉบับชาวอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นช่วงหน้าร้อน หลังเลิกงาน หรืออยู่ที่บ้านกับเพื่อนๆ ค็อกเทลสุดคลาสสิคนั้นก็ต้องเป็น จินและโทนิค เรียกว่าเป็นเพื่อนแท้คนสนิทที่ขาดไม่ได้เลย และยิ่งถ้าคุณใส่มะนาวแผ่นบางๆกับผลเบอร์รี่สดๆด้วยกับวานิลลาอีกสักนิดนึง รับรองว่าไม่ใช่แค่อร่อยแต่รสชาติแถมหน้าตายังสวยไม่แพ้กัน ว่าแล้วก็น่าจะไปดูกันที่โรงกลั่นเลยนะว่าเขาทำกันยังไงมันมีที่มายังไงเราแนะนำที่นี่เลยที่โรงกลั่นของ "Bombay Sapphire" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลอนดอนขับรถแค่ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ซึ่งนี่จะไม่ใช่แค่การไปเยี่ยมชมโรงกลั่นระดับโลก แต่คุณยังสามารถลิ้มลองรสชาติค็อกเทลสุดพิเศษจากมือโปรอีกด้วยซึ่งเขาจะทำตามความชอบส่วนตัวของคุณอีกด้วยนะ นับว่าเป็นทริปเบาๆสำหรับสุดสัปดาห์นี้เลยหละ
ในยุคปัจจุบันนี้ จิน ได้กลายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชาวอังกฤษและเพิ่มเข้าไปอยู่ในเมนูเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้วแทบจะทุกที่ๆมีจำหน่ายเครื่องดื่ม ซึ่งในร้านค้าต่างๆรวมไปถึงร้านที่ขายเหล้าโดยเฉพาะก็จะมีเมนูจิน และ ไวน์ที่หลากหลายทั้งยี่ห้อและโปรโมชั่น นอกจากนี้คุณอาจจะได้พบกับสินค้าอย่างอื่นเช่น เทียน โลชั่น ลิปมัน ที่ทำมาจากจิน หรือแม้กระทั่ง การ์ดวันเกิดอีกด้วย
เหล้าจินนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ขายดีที่สุดในเกาะอังกฤษแห่งนี้มาอย่างยาวนานและกลายมาเป็นเหมือนเครื่องดื่มประจำชาติเลยก็ว่าได้แม้ว่าสถานที่กำเนิดจริงๆจะอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ ต้องขอบคุณพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นผู้นำเข้ามาซึ่งเกิดจากการที่พระองค์ทรงนับถือนิกาย โปรเตสแตนต์ และไม่ต้องการจะพบกับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสซึงนับถือคาทอลิก ซึ่งท่านได้ชักจูงให้ประชาชนหันมาดื่มจินแทนบรั่นดีจากฝรั่งเศษ ซึ่งในตอนต้นนั้นจินได้ถูกนำเสนอในรูปแบบของเครื่องดื่มที่บำรุงสุขภาพ ถึงขนาดที่ตัวช่วยให้ชาวอังกฤษที่ลุ้มหลงในการดื่มชามากๆเลย และหลังจากนั้น จินก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเกาะอังกฤษ
พระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 3 ทรงสนับสนุนให้ผู้คนผลิตจินเองอีกด้วย และสุดท้ายมันกลายมาเป็นโรงกลั่นย่อมๆโดยไม่มีใบอนุญาติ และหลังจากนั้นไม่นานโรงกลั่นขนาดเล็กใหญ่ก็เกิดขึ้นเต็มไปหมด และด้วยวัตถุดิบสำหรับการทำจินในตอนนั้นถูกมากโดยเฉพาะในอังกฤษ จินจึงมีราคาถูกกว่าเบียร์ หนุ่มสาวทั้งหลายจึงดื่มจินกันเป็นว่าเล่นเรียกว่ากินแทนน้ำกันเลย และในท้ายที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 18 ก็เกิดหายนะขึ้นเนื่องจากมีโรงงานที่ผลิตเครื่องดื่มเหล่านี้กว่า 1,500 แห่งในลอนดอน ซึ่งทำให้ทั้งเมืองเต็มไปด้วย จิน และ ไวน์ ดีกรีแรง ทุกๆคนกลายเป็นคนเมาหัวราน้ำ ทำให้เศรษฐกิจพังลง โดยเฉพาะชนชั้นแรงงานที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง อย่างที่เห็นตามภาพเขียนด้านล่างโดย วิลเลียม โฮการ์ธ ในปี 1751 ซึ่งตอนนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่ เทท แกลเลอรี่
ในท้ายที่สุดรัฐบาลรับรู้ได้ถึงปัญหาที่กำลังทวีความรุนแรง ดังนั้นพวกเขาจึงทำการขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เพื่อหยุดยั้งปัญหาดังกล่าว ทำให้โรงกลั่นเล็กๆทั้งหลายตามถนนในเมืองลอนดอนค่อยหายไป และผู้คนก็เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตไปสู่การดื่มชาและกาแฟแทน
ในศัตวรรษที่ 21 นี้ จินและไวน์ได้กลับเข้ามาอยู่ในกระแสอีกครั้งหนึ่งและแข็งแรงยิ่งกว่าเดิมด้วยการยกระดับการผลิตอย่างละเมียดละไมเพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม ตั้งแต่ขั้นตอนการกลั่น และการปรุงแต่งเพิ่มเติมด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ รวมไปถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ด้วยความแต่งต่างของรสชาติจากจิน บวกกับ โทนิค ซึ่งเป็นส่วนผสมที่สามารถใช้สร้างรสชาติที่หลากหลายได้อีกมากมาย
ขณะที่จินกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีโรงกลั่นหลายแห่งเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมทั่วทั้งอังกฤษ และในครั้งนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ โรงกลั่นของ Bombay Sapphire ซึ่งอยู่ห่างราวๆชั่วโมงหนึ่งจากลอนดอน
อีกหนึ่งประสบการณ์ที่พลาดไม่ได้คือการห้องที่อยู่ถัดจากห้องกลั่นเป็นการใช้ประสาทสัมผัสการได้กลิ่นจากจมูก โดยมีการจัดแสดงวานิลลาที่ใช้ในการผลิต และเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆอีกด้วย
นอกจากนี้ผู้เข้าชมสามารถทดลงบดวานิลลา และ ดมกลิ่นนั้นได้อีก พร้อมทั้งรับชมวีดีโอที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่น่าสนใจกว่านั้นคือคุณสามารถสร้างรสชาติที่คุณชื่นชอบบนการ์ดที่เตรียมไว้ให้ และนำการ์ดนี้ไปให้บาเทนเดอร์ปรุงรสชาติจินที่คุณชื่นชอบได้อีกด้วย
15 นาทีในห้องกลั่นจะมีไกด์นำเข้าไป เนื่องจากข้อบังคับที่เคร่งครัดเกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอลล์ในอากาศ เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดจะต้องถูกฝากไว้ด้านนอก นอกจากคุณก็สามารถรับชมการผลิตจินระดับโลกในโรงกลั่นแห่งนี้ได้แล้ว คุณยังจะได้ดมกลิ่นแอลกอฮอล์สดๆใหม่ๆจากจินนี้อีกด้วย
ภาพด้านบนคือสมบัติอันล้ำค่าของโรงงานในเมืองแห่งนี้ โรงกลั่นขนาดมหึมาที่มีรูปร่างแปลกตาที่ใช้ในการผลิตจินของที่นี่ ด้วยกรรมวิธีที่น่าภูมิใจโดยการแช่ไอระเหย โดยวานิลลาจะถูกบรรจุไว้ด้านบนของเครื่อง
มีเพียงนักกลั่นไวน์เพียงสี่คนในโลกนี้เท่านั้นที่รู้สูตรการทำ Bombay Sapphire Gin และเพื่อเป็นการรักษาความลับนั้นไว้ นักกลั่นทั้งสี่คนนี้ จะไม่สามารถเข้าร่วมงานในเวลาเดียวกันหรือแม้กระทั่งสถานที่เดียวกัน นับว่าถือเป็นความโชคดีของเรามากๆที่ได้พบกับนักกลั่นไวน์หนึ่งในสี่และได้เห็นการทำงานแบบมือโปร เรียกได้ว่าใส่ใจทุกรายละเอียดในห้องนั้นเลย
นอกจากนี้ที่โรงกลั่นยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวิวัฒนาการของจินและการออกแบบขวดสำหรับบรรจุ ซึ่งมีให้ดูชมหลากหลายและน่าสนใจไม่แพ้กันเลย ซึ่งเราจะไม่มาบอกกันตรงนี้หลอกนะเดี๋ยวจะหมดสนุกกันก่อนเอาเป็นว่าต้องไปดูด้วยตาตนเองเท่านั้น และถัดไปในจุดสุดท้ายอาจจะเป็นช่วงที่ใครหลายคนรอคอยซึ่งเป็นช่วงในการชิมรสชาติจากทั้งไวน์และจินนั้นเอง ซึ่งจะเป็นการทำแบบสูตรเฉพาะให้เข้ากับความชอบของแต่ละบุคคล โดยบาเทนเดอร์จะให้คำแนะนำตามกลิ่นที่คุณเลือกก่อนหน้านี้ สำหรับใครที่ไม่ดื่มไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเขามีเครื่องดื่มแบบ ม็อกเทลล์ ให้บริการซึ่งไม่มีแอลกอฮอลนะจ่ะ
【Bombay Sapphire Winery】 - Related Information
อย่าลืมแวะไปร้านของฝากก่อนกลับด้วยหละ เพราะจินและไวน์ที่นี่ราคาถูกกว่าตามร้านค้าข้างนอกทั่วไป ห้ามพลาดเลยสำหรับนักดื่มทั้งหลาย
สุดท้ายนี้เราแค่อยากจะเตือนเพื่อนๆอีกสักครั้งว่าดื่มอย่างมีสตินะจ่ะ และถ้าดื่มแล้วก็ห้ามขับด้วย และอย่าดื่มหนักเกินไปหละ เราขอให้ทุกๆคนมีความสุขและดื่มด่ำกับโลกของจินและไวน์กันนะ ไม่แน่หากคืนนี้คุณอาจจะอยากลองแว๊ปเข้าผับใกล้ๆบ้านและลองอะไรใหม่ๆ บอกบาเทนเดอร์เลยว่าขอ จินแอนด์โทนิค เป็นการเริ่มต้นสำหรับคืนนี้
จำได้ไหมว่าครั้งสุดท้ายเมาเมื่อไรกัน? แล้วอะไรที่เป็นเครื่องดื่มสุดโปรดของคุณหละ? เบียร์, เหล้า, หรือคุณเป็นแฟนของจิน ไม่ว่าคุณจะเคยลิ้มลองรสชาติของมันมาก่อนหรืออดใจรอไม่ไหวที่จะได้ลองรสชาติอันกลมกล่อมของมันสักที เพราะว่าวันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเรื่องราวของจิน และการดื่มแบบฉบับชาวอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นช่วงหน้าร้อน หลังเลิกงาน หรืออยู่ที่บ้านกับเพื่อนๆ ค็อกเทลสุดคลาสสิคนั้นก็ต้องเป็น จินและโทนิค เรียกว่าเป็นเพื่อนแท้คนสนิทที่ขาดไม่ได้เลย และยิ่งถ้าคุณใส่มะนาวแผ่นบางๆกับผลเบอร์รี่สดๆด้วยกับวานิลลาอีกสักนิดนึง รับรองว่าไม่ใช่แค่อร่อยแต่รสชาติแถมหน้าตายังสวยไม่แพ้กัน ว่าแล้วก็น่าจะไปดูกันที่โรงกลั่นเลยนะว่าเขาทำกันยังไงมันมีที่มายังไงเราแนะนำที่นี่เลยที่โรงกลั่นของ "Bombay Sapphire" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลอนดอนขับรถแค่ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น ซึ่งนี่จะไม่ใช่แค่การไปเยี่ยมชมโรงกลั่นระดับโลก แต่คุณยังสามารถลิ้มลองรสชาติค็อกเทลสุดพิเศษจากมือโปรอีกด้วยซึ่งเขาจะทำตามความชอบส่วนตัวของคุณอีกด้วยนะ นับว่าเป็นทริปเบาๆสำหรับสุดสัปดาห์นี้เลยหละ
ในยุคปัจจุบันนี้ จิน ได้กลายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมชาวอังกฤษและเพิ่มเข้าไปอยู่ในเมนูเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้วแทบจะทุกที่ๆมีจำหน่ายเครื่องดื่ม ซึ่งในร้านค้าต่างๆรวมไปถึงร้านที่ขายเหล้าโดยเฉพาะก็จะมีเมนูจิน และ ไวน์ที่หลากหลายทั้งยี่ห้อและโปรโมชั่น นอกจากนี้คุณอาจจะได้พบกับสินค้าอย่างอื่นเช่น เทียน โลชั่น ลิปมัน ที่ทำมาจากจิน หรือแม้กระทั่ง การ์ดวันเกิดอีกด้วย
เหล้าจินนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ขายดีที่สุดในเกาะอังกฤษแห่งนี้มาอย่างยาวนานและกลายมาเป็นเหมือนเครื่องดื่มประจำชาติเลยก็ว่าได้แม้ว่าสถานที่กำเนิดจริงๆจะอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ ต้องขอบคุณพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นผู้นำเข้ามาซึ่งเกิดจากการที่พระองค์ทรงนับถือนิกาย โปรเตสแตนต์ และไม่ต้องการจะพบกับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสซึงนับถือคาทอลิก ซึ่งท่านได้ชักจูงให้ประชาชนหันมาดื่มจินแทนบรั่นดีจากฝรั่งเศษ ซึ่งในตอนต้นนั้นจินได้ถูกนำเสนอในรูปแบบของเครื่องดื่มที่บำรุงสุขภาพ ถึงขนาดที่ตัวช่วยให้ชาวอังกฤษที่ลุ้มหลงในการดื่มชามากๆเลย และหลังจากนั้น จินก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเกาะอังกฤษ
Image source: Huffpost
|
พระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 3 ทรงสนับสนุนให้ผู้คนผลิตจินเองอีกด้วย และสุดท้ายมันกลายมาเป็นโรงกลั่นย่อมๆโดยไม่มีใบอนุญาติ และหลังจากนั้นไม่นานโรงกลั่นขนาดเล็กใหญ่ก็เกิดขึ้นเต็มไปหมด และด้วยวัตถุดิบสำหรับการทำจินในตอนนั้นถูกมากโดยเฉพาะในอังกฤษ จินจึงมีราคาถูกกว่าเบียร์ หนุ่มสาวทั้งหลายจึงดื่มจินกันเป็นว่าเล่นเรียกว่ากินแทนน้ำกันเลย และในท้ายที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 18 ก็เกิดหายนะขึ้นเนื่องจากมีโรงงานที่ผลิตเครื่องดื่มเหล่านี้กว่า 1,500 แห่งในลอนดอน ซึ่งทำให้ทั้งเมืองเต็มไปด้วย จิน และ ไวน์ ดีกรีแรง ทุกๆคนกลายเป็นคนเมาหัวราน้ำ ทำให้เศรษฐกิจพังลง โดยเฉพาะชนชั้นแรงงานที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง อย่างที่เห็นตามภาพเขียนด้านล่างโดย วิลเลียม โฮการ์ธ ในปี 1751 ซึ่งตอนนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่ เทท แกลเลอรี่
Image source: Tate |
ในท้ายที่สุดรัฐบาลรับรู้ได้ถึงปัญหาที่กำลังทวีความรุนแรง ดังนั้นพวกเขาจึงทำการขึ้นภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ เพื่อหยุดยั้งปัญหาดังกล่าว ทำให้โรงกลั่นเล็กๆทั้งหลายตามถนนในเมืองลอนดอนค่อยหายไป และผู้คนก็เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตไปสู่การดื่มชาและกาแฟแทน
ในศัตวรรษที่ 21 นี้ จินและไวน์ได้กลับเข้ามาอยู่ในกระแสอีกครั้งหนึ่งและแข็งแรงยิ่งกว่าเดิมด้วยการยกระดับการผลิตอย่างละเมียดละไมเพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม ตั้งแต่ขั้นตอนการกลั่น และการปรุงแต่งเพิ่มเติมด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ รวมไปถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ด้วยความแต่งต่างของรสชาติจากจิน บวกกับ โทนิค ซึ่งเป็นส่วนผสมที่สามารถใช้สร้างรสชาติที่หลากหลายได้อีกมากมาย
ขณะที่จินกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีโรงกลั่นหลายแห่งเปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมทั่วทั้งอังกฤษ และในครั้งนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ โรงกลั่นของ Bombay Sapphire ซึ่งอยู่ห่างราวๆชั่วโมงหนึ่งจากลอนดอน
Image source: Hsuan
|
สถานที่ตั้งนั้นอยู่ในเขตชนบทของ แฮมป์เชอร์ ซึ่งโรงงานนี้แรกเริ่มเป็นโรงงานผลิตกระดาษซึ่งรับผิดชอบในการผลิตธนบัตรของอาณาจักรบริทิช โดยในปี 2014 นั้น ทางโรงงานได้เปิดให้ผู้คนเข้าชมอย่างเป็นทางการ ที่พิเศษกว่านั้นคือพื้นที่ในส่วนโรงงานเป็นส่วนที่อนุรักษ์ธรรมชาติและระบบนิเวศน์ โดยปราศจากมลพิษ แถมยังอยู่ใกล้กับป่าลึกและยังมีลำธารไหลผ่านที่มีน้ำใสราวกับคริสตัล นอกจากนี้ด้วยความอุดมสมบูรณ์ทำให้เป็นแหล่งที่อยู่ของนกและสัตว์น้ำอีกมากมาย
ในการเข้าชมโรงกลั่นนั้น คุณจะต้องทำการซื้อบัตรทางออนไลน์เนื่องจากจะไม่มีการขายบัตรที่หน้าทางเข้า เพราะเขาต้องการควบคุมปริมาณผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชมไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบๆ โดยที่เวปไซต์หลักนั้นจะมีตัวเลือกบัตรเข้าชมได้หลายหลายรูปแบบ โดยโปรแกรมที่แนะนำมีราคา £16 และ £14 สำหรับนักเรียน ซึ่งคุณสามารถเลือกแบบเดินชมได้ด้วยตนเอง หรือ โปรแกรมการสอนผสมจิน โดยทุกๆโปรแกรม คุณจะได้รับจินสูตรพิเศษจากบาเทนเดอร์ในตอนท้าย
นอกเหนือจากราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว โปรแกรมการเดินชมด้วยตัวเองยังให้อิสระกับคุณอย่างมาก คุณสามารถเข้าชมทุกพื้นที่ได้ด้วยตัวเอง และจะมีการเปิดให้เข้าชมห้องกลั่นภายในระยะเวลา 15 นาที เพื่อรับฟังรายละเอียดขั้นตอนการผลิตจินของที่นี่
ถึงแม้ว่าตัวโรงงานจะตั้งอยู่ค่อนข้างไกล แต่ก็มีรถบัสคอยให้บริการ (£3 สำหรับไป - กลับ) ซึ่งจะรับและส่งคุณที่สถานีรถไฟใกล้ๆตัวเมือง หากคุณออกเดินทางจากลอนดอนคุณสามารถขึ้นรถไฟที่วอเตอร์ลู มุ่งหน้าสู่ โอเวอร์ตัน และนั่งรถบัสต่อมายังโรงงานโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น หากคุณมีเวลาและไม่รีบคุณสามารถเดินผ่านตัวเมืองเก่าแก่ของโอเวอร์ตัน หรือจะปีนเขาในป่าเลยก็ได้ สำหรับแผนการเดินทางคุณสามารถตามไปได้ที่ลิ้งค์นี้เลย How to go
เมื่อมาถึงคุณจะต้องโชว์หลักฐานการบุ๊คกิ้ง และคุณจะได้รับบัตรเข้าชม พร้อมทั้งแผนที่ และ จุดสำคัญภายใน ในแต่ละส่วนนั้นจะมีเครื่องคอยบอกรายละเอียดเกี่ยวกับส่วนๆนั้นเพียงแค่คุณใช้บัตรที่ได้รับมาแตะเพื่อรับฟังข้อมูลจากไกด์อิเลคทรอนิค
ส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของโรงงานแห่งนี้คือ บ้านเรือนกระจก ซึ่งดึงดูดผู้เข้าชมมากมายนับไม่ถ้วน โดยตัวเรือนกระจกได้ถูกออกแบบโดย โธมัส ฮีทเตอร์วิก สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางที่ได้ออกแบบ British Pavilion ที่งาน Expo ที่ เซี่ยงไฮ้ รวมทั้งรถบัสสองชั้นแห่งลอนดอนอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวจากอาคารอิฐเก่าๆกับ เรือนกระจกแบบโมเดิร์น ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในตัวเรือนกระจกมีเพื่อรักษาอุณหภูมิให้อบอุ่น และเป็นการแสดงถึงแนวคิดที่ยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
ทั้งสองตัวเรือนกระจกนั้นจะมีต้นวานิลลาที่ใช้ในการผลิตจินของที่นี่ โดยแยกเป็นสองส่วนคือส่วนอุณภูมิปานกลางและส่วนโซนร้อน ซึ่งจะมีรายละเอียดของพืชแต่ละชนิดเพื่อให้คุณได้ศึกษา
Image source: Hsuan |
ในการเข้าชมโรงกลั่นนั้น คุณจะต้องทำการซื้อบัตรทางออนไลน์เนื่องจากจะไม่มีการขายบัตรที่หน้าทางเข้า เพราะเขาต้องการควบคุมปริมาณผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชมไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบๆ โดยที่เวปไซต์หลักนั้นจะมีตัวเลือกบัตรเข้าชมได้หลายหลายรูปแบบ โดยโปรแกรมที่แนะนำมีราคา £16 และ £14 สำหรับนักเรียน ซึ่งคุณสามารถเลือกแบบเดินชมได้ด้วยตนเอง หรือ โปรแกรมการสอนผสมจิน โดยทุกๆโปรแกรม คุณจะได้รับจินสูตรพิเศษจากบาเทนเดอร์ในตอนท้าย
นอกเหนือจากราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว โปรแกรมการเดินชมด้วยตัวเองยังให้อิสระกับคุณอย่างมาก คุณสามารถเข้าชมทุกพื้นที่ได้ด้วยตัวเอง และจะมีการเปิดให้เข้าชมห้องกลั่นภายในระยะเวลา 15 นาที เพื่อรับฟังรายละเอียดขั้นตอนการผลิตจินของที่นี่
ถึงแม้ว่าตัวโรงงานจะตั้งอยู่ค่อนข้างไกล แต่ก็มีรถบัสคอยให้บริการ (£3 สำหรับไป - กลับ) ซึ่งจะรับและส่งคุณที่สถานีรถไฟใกล้ๆตัวเมือง หากคุณออกเดินทางจากลอนดอนคุณสามารถขึ้นรถไฟที่วอเตอร์ลู มุ่งหน้าสู่ โอเวอร์ตัน และนั่งรถบัสต่อมายังโรงงานโดยใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น หากคุณมีเวลาและไม่รีบคุณสามารถเดินผ่านตัวเมืองเก่าแก่ของโอเวอร์ตัน หรือจะปีนเขาในป่าเลยก็ได้ สำหรับแผนการเดินทางคุณสามารถตามไปได้ที่ลิ้งค์นี้เลย How to go
Image source: Hsuan |
เมื่อมาถึงคุณจะต้องโชว์หลักฐานการบุ๊คกิ้ง และคุณจะได้รับบัตรเข้าชม พร้อมทั้งแผนที่ และ จุดสำคัญภายใน ในแต่ละส่วนนั้นจะมีเครื่องคอยบอกรายละเอียดเกี่ยวกับส่วนๆนั้นเพียงแค่คุณใช้บัตรที่ได้รับมาแตะเพื่อรับฟังข้อมูลจากไกด์อิเลคทรอนิค
Image source: Hsuan |
ส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของโรงงานแห่งนี้คือ บ้านเรือนกระจก ซึ่งดึงดูดผู้เข้าชมมากมายนับไม่ถ้วน โดยตัวเรือนกระจกได้ถูกออกแบบโดย โธมัส ฮีทเตอร์วิก สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางที่ได้ออกแบบ British Pavilion ที่งาน Expo ที่ เซี่ยงไฮ้ รวมทั้งรถบัสสองชั้นแห่งลอนดอนอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวจากอาคารอิฐเก่าๆกับ เรือนกระจกแบบโมเดิร์น ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในตัวเรือนกระจกมีเพื่อรักษาอุณหภูมิให้อบอุ่น และเป็นการแสดงถึงแนวคิดที่ยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
Image source: Hsuan
|
ทั้งสองตัวเรือนกระจกนั้นจะมีต้นวานิลลาที่ใช้ในการผลิตจินของที่นี่ โดยแยกเป็นสองส่วนคือส่วนอุณภูมิปานกลางและส่วนโซนร้อน ซึ่งจะมีรายละเอียดของพืชแต่ละชนิดเพื่อให้คุณได้ศึกษา
Image source: Hsuan |
อีกหนึ่งประสบการณ์ที่พลาดไม่ได้คือการห้องที่อยู่ถัดจากห้องกลั่นเป็นการใช้ประสาทสัมผัสการได้กลิ่นจากจมูก โดยมีการจัดแสดงวานิลลาที่ใช้ในการผลิต และเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆอีกด้วย
Image source: Hsuan |
Image source: Hsuan |
Image source: Hsuan |
นอกจากนี้ผู้เข้าชมสามารถทดลงบดวานิลลา และ ดมกลิ่นนั้นได้อีก พร้อมทั้งรับชมวีดีโอที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่น่าสนใจกว่านั้นคือคุณสามารถสร้างรสชาติที่คุณชื่นชอบบนการ์ดที่เตรียมไว้ให้ และนำการ์ดนี้ไปให้บาเทนเดอร์ปรุงรสชาติจินที่คุณชื่นชอบได้อีกด้วย
Image source: Hsuan |
15 นาทีในห้องกลั่นจะมีไกด์นำเข้าไป เนื่องจากข้อบังคับที่เคร่งครัดเกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอลล์ในอากาศ เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดจะต้องถูกฝากไว้ด้านนอก นอกจากคุณก็สามารถรับชมการผลิตจินระดับโลกในโรงกลั่นแห่งนี้ได้แล้ว คุณยังจะได้ดมกลิ่นแอลกอฮอล์สดๆใหม่ๆจากจินนี้อีกด้วย
Image source: homeofbombay |
ภาพด้านบนคือสมบัติอันล้ำค่าของโรงงานในเมืองแห่งนี้ โรงกลั่นขนาดมหึมาที่มีรูปร่างแปลกตาที่ใช้ในการผลิตจินของที่นี่ ด้วยกรรมวิธีที่น่าภูมิใจโดยการแช่ไอระเหย โดยวานิลลาจะถูกบรรจุไว้ด้านบนของเครื่อง
มีเพียงนักกลั่นไวน์เพียงสี่คนในโลกนี้เท่านั้นที่รู้สูตรการทำ Bombay Sapphire Gin และเพื่อเป็นการรักษาความลับนั้นไว้ นักกลั่นทั้งสี่คนนี้ จะไม่สามารถเข้าร่วมงานในเวลาเดียวกันหรือแม้กระทั่งสถานที่เดียวกัน นับว่าถือเป็นความโชคดีของเรามากๆที่ได้พบกับนักกลั่นไวน์หนึ่งในสี่และได้เห็นการทำงานแบบมือโปร เรียกได้ว่าใส่ใจทุกรายละเอียดในห้องนั้นเลย
Image source: Hsuan |
นอกจากนี้ที่โรงกลั่นยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวิวัฒนาการของจินและการออกแบบขวดสำหรับบรรจุ ซึ่งมีให้ดูชมหลากหลายและน่าสนใจไม่แพ้กันเลย ซึ่งเราจะไม่มาบอกกันตรงนี้หลอกนะเดี๋ยวจะหมดสนุกกันก่อนเอาเป็นว่าต้องไปดูด้วยตาตนเองเท่านั้น และถัดไปในจุดสุดท้ายอาจจะเป็นช่วงที่ใครหลายคนรอคอยซึ่งเป็นช่วงในการชิมรสชาติจากทั้งไวน์และจินนั้นเอง ซึ่งจะเป็นการทำแบบสูตรเฉพาะให้เข้ากับความชอบของแต่ละบุคคล โดยบาเทนเดอร์จะให้คำแนะนำตามกลิ่นที่คุณเลือกก่อนหน้านี้ สำหรับใครที่ไม่ดื่มไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเขามีเครื่องดื่มแบบ ม็อกเทลล์ ให้บริการซึ่งไม่มีแอลกอฮอลนะจ่ะ
【Bombay Sapphire Winery】 - Related Information
- Address: Laverstoke Mill, Whitchurch, Hampshire, RG28 7NR
- Opening hours: Monday to Sunday 11:00 - 18:00, last entry time is 16.00
- Ticket price: Self-discovery tour- £15 Guided tour – £22
- Official website: https://distillery.bombaysapphire.com/
Image source: Hsuan |
Image source: Hsuan |
อย่าลืมแวะไปร้านของฝากก่อนกลับด้วยหละ เพราะจินและไวน์ที่นี่ราคาถูกกว่าตามร้านค้าข้างนอกทั่วไป ห้ามพลาดเลยสำหรับนักดื่มทั้งหลาย
Other wineries in the London area to visit
- Beefeater Distillery
🍸 Address: 20 Montford Place, London, SE11 5DE
🍸 Opening hours: Monday to Saturday 10.00am - 6.30pm
🍸 Fare: £15.00
🍸 Official website: https://www.beefeaterdistillery.com/
Photo Credit: visitlondon |
- Sipsmith Distillery
🍸 Address: 83 Cranbrook Road, Chiswick, London W4 2LJ
🍸 Opening hours: Monday, Wednesday and Thursday 6.30pm – 8.00pm and specific Friday 4.30pm – 6.00pm.
🍸 Fare: £25
🍸 Official website: https://sipsmith.com/tours/
Photo Credit: virginexperiencedays |
- East London Liquor Company
🍸 Address: Unit GF1, Bow Wharf 221 Grove Road London, E3 5SN
🍸 Opening hours: Tuesday to Saturday
🍸 Ticket price: £15 - 30 minutes / £35 - 90 minutes
🍸 Official website: http://eastlondonliquorcompany.com/tours.html
- City of London Distillery
🍸 Address: 22-24 Bride Lane London EC4Y 8DT
🍸 Opening hours: Monday & Tuesday: 18:00, Wednesday & Friday: 16:30, 18:00 & 19:30, Saturday 15:30, 17:30, 19:00 & 20:30
🍸 Fare: £25
🍸 Official website: https://www.cityoflondondistillery.com/tours-with-gin-tasting/
Photo Credit: visitengland |
- Jensen's, Bermondsey
🍸 Address: 55 Stanworth St, London SE1 3NY
🍸 Opening hours: Saturday 10:00-17:00, Sunday 11:00-16:00
🍸 Fare: need to contact staff
🍸 Official website: http://www.bermondseygin.com/
Photo Credit: ms-da |
สุดท้ายนี้เราแค่อยากจะเตือนเพื่อนๆอีกสักครั้งว่าดื่มอย่างมีสตินะจ่ะ และถ้าดื่มแล้วก็ห้ามขับด้วย และอย่าดื่มหนักเกินไปหละ เราขอให้ทุกๆคนมีความสุขและดื่มด่ำกับโลกของจินและไวน์กันนะ ไม่แน่หากคืนนี้คุณอาจจะอยากลองแว๊ปเข้าผับใกล้ๆบ้านและลองอะไรใหม่ๆ บอกบาเทนเดอร์เลยว่าขอ จินแอนด์โทนิค เป็นการเริ่มต้นสำหรับคืนนี้
------
・Box Moving |Holiday Storage | Shipping to Thailand
・Follow SNOWL Post to discover UK/EU
Comments
Post a Comment